คุณวิรวัฒน์ และคุณพรทิพย์ เปี่ยมวิวัตติกุล ผู้ก่อตั้งร้านของฝากพรทิพย์ ในปี 2535 โดยเริ่มต้นจากเป็นตัวเทนจำหน่ายผลิตภัณฑ์ “พรทิพย์ น่ำง่วน” เช่น หมูแผ่น หมูหยอง กุนเชียง ฯลฯ เป็นตัวแทนจำหน่ายเจ้าแรกและเจ้าเดียวของภาคใต้ โดยเช่าอาคาร ร้านเล็ก ๆ 2 คูหาในตัวเมืองจังหวัดภูเก็ต จากการปิ้งหมูแผ่นขายกันสดๆ บริเวณหน้าร้าน ทำให้ได้รับผลตอบรับเป็นอย่างดีมาก จากคนในท้องถิ่น
ด้วยวิสัยทัศน์อันกว้างไกลของทั้ง 2 ท่าน..ก็ได้เริ่มหาข้อมูล และ วิเคราะห์ธุรกิจจากประสบการณ์ที่มี พบว่า ในขณะนั้นจังหวัดภูเก็ต เป็นเมืองท่องเที่ยวยอดนิยม ที่มีกลุ่มนักท่องเที่ยวทั้งชาวไทยและชาวต่างชาติเดินทางเข้ามากว่า 1.5 ล้านคนต่อปี ซึ่งหลังจากได้ดื่มด่ำกับความสวยงามทางธรรมชาติที่แสนประทับใจแล้ว ก็มักจะนิยมซื้อสินค้าของฝากพื้นเมือง เพื่อเป็นของที่ระลึกฝากให้กับครอบครัว หรือมิตรสหาย
..จึงเกิดไอเดีย ในการขยับขยายขายของฝากพื้นเมืองภูเก็ต ให้มีสินค้าหลากหลายขึ้น โดยเริ่มขอความช่วยเหลือจาก คุณแม่ของคุณพรทิพย์ ผู้มีภูมิปัญญาในฝีมือการทำอาหารพื้นเมือง เช่น น้ำพริกกุ้งเสียบ แกงไตปลาแห้งสำเร็จรูป กุ้งเสียบปรุงสมุนไพร น้ำพริกกุ้งเสียบรสชาติต่างๆ ฯลฯ มาจำหน่ายในร้าน คู่กับ หมูแปรรูป ผลปรากฏว่า ได้รับผลตอบรับอย่างดีมาก ทำให้มัคคุเทศก์พานักท่องเที่ยวมาซื้อสินค้ามากยิ่งขึ้น เพราะสินค้ามีความหลากหลาย และ เป็นสินค้าจากภูมิปัญญาชาวบ้านแท้ๆ
ในปี พ.ศ. 2545
ได้ขยายธุรกิจ และเปิดดำเนินการภายใต้ชื่อ พรทิพย์ ซีสโตร์ ศูนย์รวมอาหารทะเลแปรรูป โดยย้ายโชว์รูมสินค้า มาตั้งใหม่บนเนื้อที่กว่า 3 ไร่ รวมถึงการ สร้างโรงงานผลิตอาหารทะเลแห้งแปรรูปปรุงสมุนไพรเพื่อสุขภาพ ไว้ในพื้นที่เดียวกัน พร้อมด้วยการต้อนรับอย่างอบอุ่นและสินค้าคุณภาพ ที่มีความหลากหลายมากกว่า 1000 รายการ ในบรรยากาศที่เป็นกันเอง
” เน้นความอร่อย คุณภาพสูง สะอาดและถูกหลักอนามัย ตลอดจนแพ็คเก็จจิ้งที่สวยงาม
ทันสมัย จากการผลิตด้วยโรงงานของตนเอง“
ในปี พ.ศ. 2547 จุดเปลี่ยนสำคัญ
ในปลายปีนั้นเอง ได้เกิดวิกฤตการณ์ คลื่นยักษ์สึนามิ ถล่มเกาะภูเก็ต ทำให้ธุรกิจที่อยู่ในห่วงโซ่ของอุตสาหกรรมการท่องเที่ยว ต้องหยุดชะงัก หลายบริษัทล้มละลาย และ ปิดตัวลง ทำให้เกิดผลกระทบจากวิกฤตการณ์ด้านเศรษฐกิจอย่างมหาศาล ในตอนนั้นบริษัท มีพนักงานทั้งหมด 49 คนที่บริษัทจะต้องดูแล ซึ่งพนักงานส่วนใหญ่เป็นพนักงานที่ทำงานอยู่กับบริษัทฯ มานานตั้งแต่เริ่มดำเนินการ เป็นร้านเล็กๆ จึงเรียกประชุมพนักงานเพื่อพยายามหาแนวทางแก้ไข และ ฝ่าวิกฤตการณ์นี้ไปด้วยกันให้ได้
จากวิกฤตการณ์ ทางภัยธรรมชาติอันร้ายแรงในครั้งนี้ ทางทีมผู้บริหาร จึงได้ค้นคว้าฐานข้อมูลต่างๆของบริษัท และนำมาวิเคราะห์ พบว่าฐานลูกค้าที่เข้ามาใช้บริการส่วนใหญ่เป็นนักท่องเที่ยวชาวไทย 40% และเป็นนักท่องเที่ยวต่างชาติ 60% ดังนั้น ในเมื่อลูกค้าเหล่านั้นไม่สามารถเดินทางเข้ามาใช้บริการที่ร้านได้ดังเดิม ทางบริษัทฯ ก็ได้ปรับเปลี่ยนกลยุทธ์ โดยการนำสินค้าที่บริษัทผลิตไปส่งให้ใกล้กับกลุ่มลูกค้าเดิมให้ได้มากที่สุดเท่าที่จะทำได้ และ ที่แรกสำหรับนำสินค้าเข้าไปจำหน่ายคือ ห้างสรรพสินค้า Siam Paragon
ในปี พ.ศ. 2548
ในปีถัดไป ทางบริษัทฯ ได้วางแผนให้ฝ่ายการตลาด วางตำแหน่งผลิตภัณฑ์ใหม่ จากเดิมที่สินค้าตรา พรทิพย์ เป็นเพียงสินค้าของฝากพื้นเมือง ก็ได้ชูจุดเด่นที่มีอยู่ในตัววัตถุดิบที่มีในท้องถิ่นให้กลายเป็นสินค้าเพื่อสุขภาพ และ ทำการตลาดผ่านช่องทางห้างโมเดิร์นเทรดต่างๆ เพื่อให้สามารถกระจายสินค้าของบริษัทไปทั่วประเทศ ให้ใกล้กลุ่มลูกค้าชาวไทยให้มากที่สุด
นอกจากนี้ ทางบริษัทฯ ยังได้ พัฒนาสินค้าพื้นเมืองของจังหวัดภูเก็ต หลากหลายตัว เช่น น้ำพริกกุ้งเสียบ แกงไตปลา กุ้งเสียบแฟนซี ปลาข้าวสารกรอบ ฯลฯ ให้มีมาตรฐานระดับสากล โดยได้รับความช่วยเหลือจากหน่วยงานของรัฐ ให้นำสินค้าไปแสดงใน งานแสดงสินค้านานาชาติ Thai Fex ซึ่งจากงานนี้ ก็ทำให้มีลูกค้าชาวต่างชาติให้ความสนใจ อีกทั้งเป็นจุดเริ่มต้นของการส่งสินค้าไปจำหน่ายยังต่างประเทศได้อีกด้วย
ซึ่งส่งผลดีให้กับบริษัทฯ เป็นอย่างมาก ทำให้มียอดสั่งซื้อสินค้าเข้ามาเป็นจำนวนมาก และเป็นไปอย่างสม่ำเสมอ จนสามารถมีงานป้อนให้กับพนักงานทำกันตลอด แม้จะอยู่ในช่วงที่เกิดวิกฤตการณ์กับธุรกิจโดยรวมของจังหวัดภูเก็ตทำให้สามารถฟันฝ่าวิกฤตการณ์นั้นมาได้เป็นอย่างดี
ปัจจุบัน บริษัทฯ มีการจัดจำหน่ายครอบคลุมทั้งภายในช่องทางห้างสรรพสินค้า และศูนย์การ ค้าชั้นนำของประเทศไทย เช่น Siam Paragon, Gourmet Thai, Top Supermarket ทุกสาขา, Golden Place, ร้านค้าในโครงการหลวงต่างๆ และ ร้านจำหน่ายสินค้าเพื่อสุขภาพ ตลอดจน ร้านขายสินค้าของฝากตามหัวเมืองใหญ่ๆมากมาย
ในปี พ.ศ. 2549
บริษัทฯ ยังมีการพัฒนาคุณภาพของสินค้า อีกหลายตัว เช่น น้ำพริกกุ้งเสียบ แกงไตปลา กุ้งเสียบแฟนซี ปลาข้าวสารกรอบ ฯลฯ โดยได้สร้างโรงงานผลิตสินค้าที่ ผ่านการตรวจรับรองระบบมาตรฐาน GMP เพื่อยกระดับคุณภาพสินค้า จนสามารถส่งไปจำหน่ายยังต่างประเทศได้อีกด้วย อาทิเช่น Hong Kong, Singapore, Malaysia, Australia ฯลฯ
ในปี พ.ศ. 2552
ได้ขยายธุรกิจอีกครั้ง และเปลี่ยนชื่อ เป็น บริษัท พรทิพย์ (ภูเก็ต) จำกัด โดยได้เพิ่มมาตรฐานการรับรองคุณภาพสินค้า ในระดับสากลยิ่งขึ้น อาทิ HACCP จากหน่วยงานประเทศอังกฤษ ,ฮาลาล ,เชลล์ชวนชิม และรางวัลที่การันตี ถึงรสชาติของผลิตภัณฑ์ และบรรจุภัณฑ์ระดับโลกมากมาย อาทิ G-Mark ,DE-mark , Asia Star ,Thai Star และอื่นๆอีกมากมาย
ในปี พ.ศ. 2553 ที่สุดของความภาคภูมิใจ
พร้อมกันนี้ ในปี 2553 บริษัท พรทิพย์ (ภูเก็ต) จำกัด ได้รับรางวัลพระราชทานชนะเลิศ การน้อมนำเศรษฐกิจพอเพียงมาประยุกต์ใช้ได้อย่างยั่งยืน จาก พระบาทสมเด็จพระบรมชนกาธิเบศร มหาภูมิพลอดุลยเดชมหาราช บรมนาถบพิตร (รัชกาลที่๙)
ในการนี้ สมเด็จพระกนิษฐาธิราชเจ้า กรมสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี แทนพระองค์ ในพิธีพระราชทานรางวัลเกียรติคุณ
ทั้งนี้ ทางบริษัทฯ มีการพัฒนาผลิตภัณฑ์อย่างไม่หยุดนิ่ง เพื่อที่สรรค์สร้างอัตลักษณ์ ความเป็นวัฒนธรรมท้องถิ่น ของชาวภูเก็ต ให้นักท่องเที่ยวทั้งชาวไทย และชาวต่างชาติได้รับรู้ ด้วยการผลิตแพ็คเก็ตจิ้งล่าสุดของทางบริษัทฯ ในรูปแบบตึกอาคารชิโนโปรตุกีส ทีนำเอาสถาปัตยกรรมอันเก่าแก่ของจังหวัดภูเก็ต นำมาออกแบบเป็นบรรจุภัณฑ์
โดยสถาปัตยกรรมเหล่านี้ที่ได้รับการออกแบบ ได้แก่ พิพิธภัณฑ์ไทยหัว โรงเรียนสอนภาษาจีนแห่งแรกของภูเก็ต, หอนาฬิกา วงเวียนใจกลางเมืองภูเก็ตในปัจจุบัน, ตึกแถวถนนถลาง ชุมชนค้าขายที่เจริญรุ่งเรืองในอดีต, ซอยรมณีย์ บ้านพักอาศัยและแหล่งสถานเริงรมณ์ในอดีต, โรงแรมออน ออน โรงแรมแห่งแรกในจังหวัดภูเก็ต เป็นต้น
นอกจากนี้ยังเพิ่มคุณค่าบรรจุภัณฑ์ โดยการบรรจุขนมโบราณที่หาทานได้ยาก นอกจากร้านกาแฟเล็กๆดั้งเดิมของภูเก็ต โดยขนมโบราณนี้ได้แก่ ขนมพริก ขนมไส้ไก่ ขนมเชือกควาย ขนมเต้าส้อ ขนมบีพ้าง ขนมก้องหยุ่น ขนมซิต้าวส้อ ขนมม่อหลาว และขนมก้องถึง เป็นต้น
ทั้งนี้ทางบริษัทฯจะไม่ผลิตขนมโบราณเหล่านี้แข่งกับชาวบ้าน เนื่องจากต้องการช่วย กระจายรายได้ให้แก่ชุมชน และเพื่อรักษารสชาติต้นตำรับอย่างคงที่
จุดเริ่มต้น.. พัฒนาสู่ผู้นำด้าน Innovation Product
ภายใต้แบรนด์ ORTA
ORTA (โอต๊ะ) เกิดจากความตั้งใจ ของคุณวิรวัฒน์ – คุณพรทิพย์ เปี่ยมวิวัตติกุล ผู้บริหารระดับสูง ที่ต้องการมุ่งสู่การทำธุรกิจด้าน ผลิตภัณฑ์นวัตกรรม จากการพัฒนาผลไม้ไทย อาทิ ทุเรียน มังคุด มะม่วง มะพร้าว กล้วย เป็นต้น ในรูปแบบInnovation Product โดยการนำการวิจัยทางวิทยาศาสตร์ เข้ามาช่วย โดยเลือกใช้ผลไม้ไทย คัดพิเศษมาเป็นวัตถุดิบ โดยยังคงรสชาติ และความหอม ของผลไม้นั้นๆ ให้ได้ความ Real มากที่สุด พร้อมทั้งต้องการช่วยเหลือเกษตรกรไทย ลดปัญหาสินค้าเกษตรล้นตลาด และยกระดับผลิตภัณฑ์จากผลไม้ไทย ด้วยการสร้างอัตลักษณ์สินค้าของคนไทย สู่ตลาด Asian และตลาดโลก ด้วยการบริหารจัดการโดย บริษัท พรทิพย์ พรีเมี่ยม จำกัด
เปิดตัวผลิตภัณฑ์ตัวแรก “น้ำทุเรียนพร้อมชงดื่มสำเร็จรูป” ในปี 2556 ได้รับการวิจัย จากกรมการค้าระหว่างประเทศ โดยมี สำนักงานประสานงานชุดโครงการทุนพัฒนาแผนธุรกิจนวัตกรรม (IBPG) สำนักงานกองทุนสนับสนุนการวิจัย (สวก.) เป็นที่ปรึกษาด้านเทคโนโลยีการผลิต ซึ่งใช้เวลาถึง 8-9 เดือน ในการวิจัยขึ้นมา ► ►
พร้อมกันนี้ เพื่อช่วยลดความยุ่งยากในการรับประทานทุเรียนสด และเป็นการแก้ปัญหาเรื่องการนำทุเรียน เข้าไปยังสถานที่สาธารณะ เช่น โรงแรม สายการบิน ร้านอาหาร ฯลฯ ได้อีกด้วย
โดยการพัฒนารูปแบบของการบริโภคทุเรียน ให้เป็นรูปแบบชนิดผงสำหรับชงน้ำดื่ม โดยใช้ทุเรียนหมอนทองคัดพิเศษเป็นวัตถุดิบ พัฒนาให้เป็นรูปแบบผงสำหรับชงดื่ม โดยยังคงความหอมและรสชาติอร่อย หวาน มันของทุเรียน ไม่มีคลอเรสเตอรอล รับประทานง่าย สามารถสร้างความหลากหลายในการบริโภค ได้แก่ ชงดื่มร้อน ดื่มเย็น ใช้เป็นน้ำราดข้าวเหนียวทุเรียน หรือทำเป็นน้ำแข็งไสได้
ในปัจจุบัน มีสินค้ารวมกว่า 20 รายการ ได้แก่สินค้าประเภท เครื่องดื่มผลไม้ชงดื่มสำเร็จรูป ,กาแฟผสมผลไม้สำเร็จรูป ,ซุปทุเรียน และล่าสุด ชา-กาแฟภูเก็ต มีให้เลือกทั้งสูตรปกติ และสูตรไม่ผสมน้ำตาล เป็นต้น ซึ่งแต่ละประเภทผลิตภัณฑ์ จะมีรสชาติผลไม้ ให้เลือกกว่า 2-4 ชนิด
ติดตามความเคลื่อนไหวของ ORTA ในการก้าวเข้าสู่ ผู้นำด้าน INNOVATION PRODUCT ของโลกได้ที่ ►► http://www.ortadurian.com
ในปี พ.ศ. 2558
ทางบริษัทฯ ได้รับรางวัลมาตรฐาน SMEs National Awards 2015 อีกครั้ง จากการมีประสิทธิภาพและความสามารถ ในการบริหารจัดการองค์กร อย่างมีมาตรฐาน และพัฒนาธุรกิจให้มีมาตรฐานมากขึ้น สู่ระดับสากล จัดโดยสำนักงานส่งเสริมวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อม (สสว.)
ในปี พ.ศ. 2559
คว้ารางวัลชนะเลิศระดับประเทศ 2 รางวัล
จากการมุ่งมั่น พัฒนาผลิตภัณฑ์นวัตกรรม อย่างต่อเนื่อง ..ส่งผลให้ “ORTA” ได้รับรางวัลชนะเลิศ ในระดับประเทศ ในปี 2016 ถึง 2 รางวัล ►► ทำให้ “โอต๊ะ” ก้าวสู่..การผู้นำด้านผลิตภัณฑ์นวัตกรรมของไทย ได้สำเร็จ ►►
► รางวัลชนะเลิศ “สุดยอดนวัตกรรม 7 Innovation Awards 2016” ด้านเศรษฐกิจ กับผลิตภัณฑ์ “น้ำทุเรียนพร้อมดื่มสำเร็จรูป” ..ในงาน Thailand Synergy เพื่อ SMEs ไทย” จัดขึ้นโดย 11 องค์กรสำคัญ ของประเทศ เพื่อคัดเลิอกสินค้า และบริการของ SMEs ที่มีการพัฒนาองค์ความรู้ และคิดค้นนวัตกรรม ทำให้เกิดการต่อยอด สร้างสรรค์ ผลิตภัณฑ์ และบริการ หรือรูปแบบการดำเนินธุรกิจใหม่ๆ ที่ก่อให้เกิดคุณค่า และมูลค่าที่สูงขึ้น
► รางวัลชนะเลิศ “OTOP KBO CONTEST 2016” กับผลิตภัณฑ์ “ครีมเนื้อทุเรียน” ซึ่งเป็นการประกวด การเผยแพร่ผลงาน เครื่อข่ายองค์ความรู้ (Knowledge – based OTOP : KBO) จัดขึ้นโดยกรมพัฒนาชุมชน เพื่อคัดเลือกสินค้า ที่มีการพัฒนา ต่อยอดผลิตภัณฑ์ OTOP ให้มีความโดดเด่น มีคุณภาพมาตรฐาน พร้อมที่จะจำหน่ายในตลาดภายใน และภายนอกประเทศได้ และผลิตภัณฑ์นั้น ยังคงรักษาไว้ซึ่งเอกลักษณ์ และอัตลักษณ์ ของชุมชนอย่างเด่นชัด
ในปี พ.ศ. 2561
ปีถัดมา บริษัทฯ ได้ตอกย้ำความเป็นผู้นำด้านสินค้านวัตกรรม คว้ารางวัลชนะเลิศ “Thai Star 2018” ในผลิตภัณฑ์ “ช็อกโกแลตเคลือบเมล็ดกาแฟ รสผลไม้” ซึ่งมีให้เลือกถึง 4 รสชาติด้วยกัน ได้แก่ ช็อกโกแลตเคลือบเมล็ดกาแฟ ,ช็อกโกแลตเคลือบเมล็ดกาแฟ รสทุเรียน ,ช็อกโกแลตเคลือบเมล็ดกาแฟ รสมะม่วง และ ช็อกโกแลตเคลือบเมล็ดกาแฟ รสมะพร้าว ..ซึ่งเป็นความแปลกใหม่ในการทานช็อกโกแลต และกาแฟไปพร้อมๆกัน เหมาะสำหรับคนรุ่นใหม่ รักในการท้าทาย
ในปี พ.ศ. 2562
ต่อมา ORTA (โอต๊ะ) ได้รับรางวัลอีกครั้ง กับรางวัล “Creator Awards ” ด้านเศรษฐกิจ ในการประกวดสุดยอดนวัตกรรม 7 Innovation Awards 2019 ได้แก่ผลิตภัณฑ์ “ทุเรียนแท่งอบกรอบ” กับไซต์บรรจุภัณฑ์ กะทัดรัด พกพาสะดวก และโดดเด่น ไม่ซ้ำใคร
ปลายปี 2562
กับวิกฤตที่ไม่มีใครคาดคิด COVID-19
จากการแพร่ระบาดของไวรัส COVID-19 ได้สร้างความโกลาหลวุ่นวายให้กับโลกอย่างหนักหน่วงทุกด้าน ไม่ว่าจะเป็นเศรษฐกิจ สังคม การเมือง รวมไปถึงวิถีชีวิตของผู้คน และการท่องเที่ยว ทำให้นักท่องเที่ยวทั้งชาวไทยและต่างชาติ ต่างงดออกนอกประเทศ และเคหะสถาน ซึ่งทางบริษัทฯ ได้รับผลกระทบ100%
ความท้าทายครั้งใหม่..ในปี พ.ศ. 2563
จากวิกฤษอันรุนแรง จากการแพร่เชื้อไวรัส COVID-19 ทำให้เกือบทุกจังหวัดของไทย ได้มีการปิดพื้นที่เข้า-ออก และจังหวัดภูเก็ตเอง ก็เป็นหนึ่งในนั้นที่มีคำสั่งจากภาครัฐให้ปิดจังหวัด ..ส่งผลให้ ไม่มีนักท่องเที่ยวทั้งชาวไทยและชาวต่างชาติ เดินทางมาภูเก็ตเลย อีกทั้งสินค้าที่ส่งไปจัดจำหน่ายตาม Shop หรือห้างต่างๆ ก็ไม่มียอดสั่งซื้อเข้ามา เช่นกัน
บริษัทฯ จึงได้ปรับกลยุทธ์ แผนเชิงรุกด้าน E-Commerce หรือ สื่อออนไลน์ เพื่อให้เข้าถึงกลุ่มลูกค้ามากขึ้น โดยเริ่มต้นจากการ Live ขายสินค้าทางเพจ จัดโปรโมชั่นดึงดูดใจลูกค้าอย่างต่อเนื่อง ทำให้ได้ผลตอบรับที่ดีมาก ซึ่งทำให้ลูกค้าสามารถช้อปส์สินค้าผ่านทางมือถือในขณะที่อยู่บ้านได้เลย โดยไม่ต้องออกมาเสี่ยงต่อเชื้อไวรัส COVID-19
จากผลตอบรับที่ดีนี้เอง ทำให้บริษัทฯ ได้พัฒนาช่องทางออนไลน์ต่างๆที่มีอยู่เดิม ให้มีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้น อาทิ Website ,Page Facebook ,Line ,Shopee ,Lazada เป็นต้น และขยายช่องทางการขาย ผ่านแพลตฟอร์มต่างๆ เพื่อให้เข้าถึงลูกค้าได้หลากหลายขึ้น อาทิ Moomall ,JD Central ,24 Shopping ,Line Shopping(My Shop) ,Tiktok ,TV Direct ฯลฯ
นอกจากนี้ยังได้ เปิดรับตัวแทนจำหน่าย ผ่านบุคคล เพจหรือแอพพลิเคชั่นต่างๆ อาทิ The Sun ,Cashew Nut Phuket เป็นต้น หากท่านใดสนใจเป็นตัวแทนจำหน่าย คลิก 👉 https://lin.ee/yMVZQdy
และในปีเดียวกัน บริษัทฯได้พัฒนาอย่างไม่หยุดนิ่ง
สร้างสรรค์ “ชา-กาแฟ ภูเก็ต” ผลิตภัณฑ์ใหม่ขึ้นมา
ได้เปิดตัว 3 ผลิตภัณฑ์ใหม่✨ ชาไทย(เซล้องอูเล้ง) ,กาแฟ31(โกปี้อูเล้ง) และ กาแฟดำ(โกปี้อ้อ)

ในปี พ.ศ. 2564
หลังจากโลกเผชิญปัญหาโรคระบาด ,ปัญหาสิ่งแวดล้อม ไปจนถึงภาวะสังคมสูงวัย ฯลฯ ทั้งหมดนี้ ล้วนมีความเกี่ยวโยงกับชีวิตประจำวันของผู้คนอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ ส่งผลให้คนเห็นคุณค่า และตระหนักถึงปัญหาด้านสุขภาพ “เทรนด์อาหารยุคใหม่” จึงมีความจำเป็นต้องใส่ใจเรื่องของสุขภาพของคน การผลิตที่เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม รวมถึงสะท้อนด้านความยั่งยืนในหลายมิติ
ทางบริษัทฯ จึงได้มุ่งเน้นผลิตสินค้า เพื่อสุขภาพ โดยการต่อยอดผลิตภัณฑ์ ชา-กาแฟ ภูเก็ต พัฒนามาเป็น “สูตร ไม่ผสมน้ำตาล” สำหรับคนรักสุขภาพโดยเฉพาะ
และนอกจาก จะมี ชาไทย(เซล้องอูเล้ง) ,กาแฟ31(โกปี้อูเล้ง) และ กาแฟดำ(โกปี้อ้อ) แล้ว..ยังได้เพิ่มเครื่องดื่มสไตล์ภูเก็ต ที่มีเอกลักษณ์เฉพาะตัว อีก 2 ผลิตภัณฑ์ ได้แก่ โกปี้ช้าม (ชาไทยผสมกาแฟ) และ ชาดำ(เซล้องอ้อ) อีกด้วย จะเห็นได้ว่านอกจากบริษัทฯจะพัฒนา ส่วนผสมของตัวผลิตภัณฑ์แล้ว นอกจากนี้ยังได้ พัฒนาบรรจุภัณฑ์ ให้สามารถตอบโจทย์ความเป็น เครื่องดื่มสไตล์เมืองเก่าภูเก็ต โดยตัวกล่องบรรจุภัณ์ เมื่อนำวางคู่กันจะ เป็นชุด “บาบ๋าย่าหยา” ชุดพื้นเมืองภูเก็ต ได้อีกด้วย



ล่าสุด..ปีพ.ศ. 2565
ทางบริษัทฯ ยังคงพัฒนาอย่างต่อเนื่อง จากการ พัฒนาระบบโชว์รูม ให้ทันสมัย เมื่อลูกค้ามาใช้บริการ ก็จะได้รับความสะดวกสบาย และประทับใจมากที่สุด ควบคู่ไปกับการใช้บริการ ทางสื่อออนไลน์ โดยสามารถเชื่อมโยงกันอย่างไร้รอยต่อ แบบ Omni Channel เพื่อติดต่อสื่อสารกับลูกค้า ที่หลากหลายช่องทาง และเชื่อมโยงช่องทางต่างๆ รวมให้เป็นหนึ่งเดียว
และในปีนี้ คาดว่าจะมีสินค้า New Product ที่เป็น “เทรนด์อาหารยุคใหม่” ออกมาเอาใจสายรักสุขภาพ อย่างแน่นอน